ทนายเดชา พาแม่ของสาวไทยอายุ 37 ปี หลังจากที่กลับจากทำงานที่บาห์เรนมาผ่าทำศัลยกรรมหน้าอก คลินิกย่านปากเกร็ด แล้วเสียชีวิตหลังจากผ่าตัดเสร็จไม่ถึง 6 ชั่วโมง แจ้ง พงส.สภ.ปากเกร็ด เอาผิด “ประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย” ชี้ที่ผิดชัดเจนคือ ห้องผ่าตัดศัลยกรรมขนาดใหญ่ จะต้องมีใบอนุญาตและมีวิสัญญีแพทย์คอยดูแลคนไข้ แต่ที่นี่ไม่มี ยืนยันเอาผิดให้ถึงที่สุดทั้งทางอาญาและทางแพ่ง โดยเรียกร้องค่าเสียหายเป็นเงินหลัก 10 ล้าน เนื่องจากผู้เสียชีวิตมีลูกถึง 2 คน กับแม่ที่ต้องดูแล

       จากกรณี น.ส.กนกวรรณ โพธิ์ศรี อายุ 37 ปี สาวทำอาชีพนวดแผนโบราณที่ประเทศบาห์เรน กลับมาทำศัลยกรรมหน้าอกที่คลินิกเสริมความงามที่ประเทศไทนย่านเมืองทองธานี ต.คลองเกลือ อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี เมื่อวันที่ 23 มี.ค.66 ภายหลังจากที่เสร็จจากการทำศัลยกรรม ได้เดินทางกลับมาที่บ้านย่านวังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา อยู่ๆก็เกิดอาการช็อกและเสียชีวิต ช่วงกลางดึกของวันที่ 24 มี.ค. 66 หลังจากที่กลับมาถึงเพียงแค่ 6 ชั่วโมง ก่อนแม่ร้องสื่อเอาผิด คาใจสาเหตุการเสียชีวิตของลูกสาว ต่อมาเจ้าหน้าที่สาธารณสุขและตำรวจเข้าตรวจสอบคลินิกที่ทำศัลยกรรม เพื่อหาหลักฐานและเรียกแพทย์รอการให้ปากคำหาสาเหตุไปแล้วนั้น เมื่อวันที่ 28 มี.ค.ที่ผ่านมา ล่าสุด เวลา 14.00 น. วันที่ 29 มี.ค. ที่ สภ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี นายเดชา กิตติวิทยานันท์ ทนายคลายทุกข์ พร้อมด้วย นางจำปี ทองเจริญ อายุ 59 ปี มารดา น.ส.จตุพร หาหอม อายุ 30 ปี น้องสาวผู้เสียชีวิต และ นายธีรวุฒิ พุทธิวงศ์ไพศาล บุตรชายของผู้เสียชีวิต เข้าแจ้งความกับ ร.ต.ท.หญิง ชณิดาภา ทิพย์รักษา รอง(สว.สอบสวน) สภ.ปากเกร็ด เพื่อให้ดำเนินคดีกับนายแพทย์ผู้ทำการผ่าตัดให้ผู้ตาย และเจ้าของคลินิกศัลยกรรมเสริมความงาม มาริเซ่ คลินิก รวมทั้งผู้ที่เกี่ยวข้องในการผ่าตัด ในข้อหา “ประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย” โดยใช้เวลาในการสอบปากคำอย่างละเอียดนานกว่า 1 ชั่วโมง ทนายเดชา กล่าวว่า ในวันนี้ได้พาครอบครัวของผู้เสียชีวิตจากการไปทำศัลยกรรมเสริมเพิ่มไซส์หน้าอกที่คลินิกแห่งนี้มาแจ้งความดำเนินคดีประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายเพียงข้อหาเดียวในเบื้องต้น ส่วนความผิดในข้อหาอื่นๆ นั้นทราบว่าทางกระทรวงสาธารณสุขจะเป็นผู้มาเข้าแจ้งความดำเนินคดีเพิ่มเติมในอีกหลายข้อหา ซึ่งจะทราบผลชันสูตรอย่างชัดเจนภายในระยะเวลา 7 วัน จากการติดต่อประสานงานทำให้ทราบคร่าวๆ ว่า เหตุการณ์เกิดจากความผิดพลาดในการรักษาจนเป็นเหตุให้ผู้เสียชีวิตเสียเลือดออกมาจำนวนมาก และห้องที่ใช้ผ่าตัดเองก็ไม่ได้รับอนุญาตให้ทำการผ่าตัดใหญ่ด้วย เป็นการใช้สถานที่ผิดประเภท โดยในวันที่ 31 มี.ค.นี้ พนักงานสอบสวนได้เรียกหมอที่ทำการผ่าตัดมาสอบปากคำ ทนายเดชา กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ทางตนก็ได้เตรียมยื่นเรื่องให้ทางแพทยสภา และกรมสนับสนุนบริการทางการแพทย์ (สบส.) ช่วยเข้าตรวจสอบในเรื่องนี้อีกทาง เพราะมีหลักฐานที่สามารถจะเอาผิดอยู่จำนวนมากพอสมควร รวมไปจนถึงเรื่องที่คลินิกแห่งนี้มีใบอนุญาตที่ถูกต้องและเป็นแพทย์ทำการผ่าตัดจริงหรือไม่ ถ้าเป็นแพทย์จริง แล้วได้เป็นแพทย์เฉพาะทางด้านนี้หรือไม่ หรือเป็นแค่แพทย์ศัลยกรรมทั่วไป แต่แอบอ้างมาหารายได้พิเศษในลักษณะเช่นนี้รวมไปถึงจรรยาบรรณของแพทย์ด้วย ความผิดที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดก็คือการใช้ห้องผ่าตัดศัลยกรรมที่มีขนาดใหญ่จะต้องมีใบอนุญาตและมีวิสัญญีแพทย์คอยดูแลคนไข้ด้วย แต่ที่นี่ไม่มี ซึ่งเป็นความบกพร่องอย่างเห็นได้ชัด จึงต้องฟ้องร้องเอาผิดทั้งทางด้านอาญาและทางแพ่ง โดยที่เรียกร้องค่าเสียหายเป็นเงินทั้งหมดจำนวนกว่า 10 ล้านบาท เนื่องจากผู้เสียชีวิตมีครอบครัว มีลูกจำนวน 2 คน และมีแม่ที่ต้องดูแลด้วย ทำให้ทางครอบครัวขาดรายได้สำหรับการอุปถัมป์เลี้ยงดู

       ด้าน น.ส.จตุพร น้องสาวของผู้เสียชีวิต กล่าวว่า ก่อนหน้านี้พี่สาวเคยมาพูดเป็นการเปรยๆ ว่า อยากที่จะไปทำหน้าอกให้ใหญ่ขึ้น แต่ตนหลัวอันตราย ไม่อยากให้ไปทำก็เลยไม่ได้คุยกันในเรื่องนี้กันอีกเลย ซึ่งไม่รู้มาก่อนเลยว่าพี่สาวไปเจอหรือไปติดต่อกับคลินิกศัลยกรรมแห่งนี้ได้อย่างไร ทราบแค่เพียงว่า ทางคลินิกแห่งนี้เรียกค่าทำศัลยกรรมเสริมหน้าอกเป็นจำนวนเงินจำนวน 6.8 หมื่นบาท จากราคาเต็มอยู่ที่ราคา 7.2 หมื่นบาท ซึ่งทางคลินิกลดราคาลงมาให้ในราคาพิเศษ หลังเสียพี่สาวไปทำให้ตอนนี้เกิดผลกระทบตกไปอยู่ที่ลูกสาวคนเล็กวัย 8 ขวบ กับลูกชายคนโตอายุ 16 ปี ซึ่งยังเรียนหนังสืออยู่ด้วยกันทั้งสองคน ซึ่งใครจะเป็นคนดูแลเด็กๆต่อจากนี้ จากที่พี่สาวเคยทำงานส่งเงินกลับมาให้ครอบครัวได้ใช้จ่ายเดือนละ 3 หมื่นบาท ซึ่งถ้าให้ตนเปรียบเทียบเงิน จำนวน 10 ล้านบาท กับชีวิตของพี่สาว ตนก็เลือกชีวิตพี่สาวดีกว่าเพราะเงินมันเทียบไม่ได้เลยกับชีวิตของคนที่เรารัก อยากให้ทางคลินิกออกมาแสดงความรับผิดชอบ หรือนัดพูดคุยเจรจาช่วยเหลืออะไรบ้าง ไม่ใช่มีแต่บอกว่าจะโทรศัพท์ติดต่อกลับมาแต่ก็เงียบหายไป