ตลาด อ.ต.ก. แตก “ประยุทธ์” เดินหาเสียง แอบเหน็บแนมนโยบายหาพรรคการเมืองพูดเองเออเอง คนชอบ แต่ไร้หลักการ ไร้นโยบาย ประเทศชาติต้องมาแบกรับชะตากรรม ขอโทษประชาชนรบกวนเดินหาเสียง เผยนโยบายพรรคใกล้เสร็จส่ง กกต.แล้ว

       วันที่ 16 เมษายน 2566 ที่องค์การตลาดเพื่อการเกษตร (อ.ต.ก.) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรครวมไทยสร้างชาติ ลงพื้นที่หาเสียงพร้อมผู้สมัครเขตจตุจักร โดยบรรยากาศเป็นไปด้วยความคึกคัก บรรดาพ่อค้าแม่ค้าที่ขายผลไม้ และขายอาหารในตลาด ให้กำลังใจและเชียร์ให้ พล.อ.ประยุทธ์ ได้กลับเข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรี ได้ทำงานแก้ไขปัญหาของประเทศชาติให้กับประชาชนต่อไป ในขณะที่ พล.อ.ประยุทธ์ ได้แวะเวียนไปที่ร้านขายทุเรียน คัดพิเศษเกรดพรีเมียมที่แพงที่สุดในตลาด อ.ต.ก. กิโลกรัมละ 12,000 บาท พร้อมกับชิมรสชาติทุเรียนที่แม่ค้าได้จัดเตรียมไว้ให้ โดยแม่ค้าบอกว่า รักและชื่นชอบลุงตู่มานาน แต่ไม่เคยได้เงินจากรัฐบาลลุงตู่ พล.อ.ประยุทธ์ จึงหยอกว่า ขายทุเรียนกิโลฯ ละเป็น 10,000 แบบนี้ คงไม่ต้องได้เงินช่วยเหลือแล้วกระมั้ง จากนั้นได้แซวแหวนเพชรที่อยู่ในมือว่า สวยดีนะ แม่ค้าจึงหัวเราะลั่น จากนั้น พล.อ.ประยุทธ์ ได้เดินเข้าไปในตลาด พร้อมกับรับประทานอาหารมื้อเที่ยง โดยเดินไปเลือกข้าวแกง เมนูมื้อเที่ยงเป็นข้าวเหนียวส้มตำไก่ย่าง ไข่พะโล้ ผัดพริกแกงหน่อไม้ และหลังจากที่ได้รับประทานมื้อเที่ยงพร้อมกับแกนนำพรรคและผู้สมัคร พล.อ.ประยุทธ์ ได้เดินไปหาเสียงต่อที่ตลาดจตุจักร จากนั้นเมื่อเวลา 12.10 น. พล.อ.ประยุทธ์ ในฐานะแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ได้ให้สัมภาษณ์ถึงการลงพื้นที่ในวันเดียวกันนี้ ว่า ก่อนอื่นต้องขอโทษพี่น้องประชาชนด้วย ที่วันนี้มีความจำเป็นออกมาลงพื้นที่ในฐานะเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ในนามพรรค รทสช. ถือเป็นกติกาที่ต้องหาเสียงกัน ดังนั้นต้องขอโทษหากมีการรบกวนคนที่มาเดินจ่ายตลาด แต่ก็รู้สึกยินดีขอบคุณที่ทุกคนให้การต้อนรับเป็นอย่างดียิ่ง ทุกคนมีมิตรไมตรีให้กัน ฉะนั้นขออวยพรให้ทุกคนประสบความสำเร็จในด้านการค้าขายต่างๆเหล่านี้ และทำให้ตนมีการบ้านกลับไปคิดอีกว่า จะทำอะไรให้ชีวิตความเป็นอยู่ดีขึ้นกว่าเดิม เป็นการทำต่อ และทำใหม่ให้ดีขึ้นกว่านี้อีก ทั้งนี้ ปัญหาทางบ้านเราคือร้านค้าเล็กๆ น้อยๆ มีค่อนข้างเยอะ กำลังการผลิตเยอะ แต่กำลังซื้อน้อยไป ฉะนั้นจะต้องทำให้ทั้งสองทางในทิศทางเดียวกันด้วย ทั้งคนขายและคนซื้อ สามารถพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกันได้ ในการเพิ่มรายได้ให้กับประชาชนในระดับฐานราก เพราะเป็นส่วนสำคัญของประเทศไทย ทั้งในวันนี้และวันหน้า หากเราสามารถพึ่งพาตัวเองได้ ใช้จ่ายกันในพื้นที่ได้ เงินก็จะหมุนเวียนในระบบมากยิ่งขึ้น ในส่วนของงบประมาณของรัฐบาลที่เพิ่มเติมมาก็คือ เรื่องของการลงทุน โดยเฉพาะการลงทุนต่อจากต่างประเทศ ที่เรายังมีแผนเอาไว้แล้ว ซึ่งจะมีผลในไม่อีกกี่ปีข้างหน้า เป็นการเติมทั้ง 2 อย่างให้เต็ม ประเทศไทยก็จะมีความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืนเมื่อถามว่า อยากให้นายกรัฐมนตรีอธิบายไปถึงเรื่องเงินนโยบายของพรรคเรื่องเงินสวัสดิการ ที่บอกว่าให้มากถึง 10,000 บาท พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า หากลองดูตัวเลขง่ายๆ ถ้าตัวเลขที่เราทำได้ คำนวณดูแล้วไม่ผิดกติกา ไม่ผิดกฎหมาย ตั้งวงเงินไว้เดือนละ 1,000 บาท ถ้ารวมทั้งปีได้ 12,000 บาท อันนั้นถ้าเปรียบเทียบ 10,000 บาทกี่เดือน ในระยะเวลา 6 เดือนที่ใช้ และเป็นการให้ครั้งเดียว แต่สิ่งที่เราทำได้ทุกเดือน ลองคูณตัวเลขดีมากและน้อยอย่างไร และมันพุ่งเป้าไปสู่กลุ่มที่เขามีความเดือดร้อนจริงหรือไม่ การใช้เงินไม่ใช่จะหว่านให้ไปทั่ว มันไม่ได้ อันนี้เป็นความคิดเห็นของทางต่างประเทศด้วย เราก็นำเรื่องนี้มาวิเคราะห์และทำการวิจัยว่า อะไรทำได้หรือทำไม่ได้ ทั้งนี้ อย่าลืมว่าเราจะต้องให้ความสำคัญกับเสถียรภาพการเงินของเราที่แข็งแกร่ง เมื่อถามต่อว่า ของเดิมที่ทำอยู่จะดีกว่าตรงที่ใช้ได้กันทั้งประเทศ ไม่ได้กำหนดรัศมีในการใช้ใช่หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ก็น่าจะเป็นอย่างนั้น เพราะใช้ได้ในทุกพื้นที่ อย่าลืมว่าบางร้านค้าข้างล่างที่หวังจะไปเก็บเงินอะไร มีปัญหาอยู่ตรงที่บางร้านเป็นร้านค้าเล็กๆ น้อยๆ อาจจะยังไม่ได้จดทะเบียน ซึ่งเราก็ไม่รู้จะทำอย่างไรเหมือนกัน นอกจากการยกระดับให้เขาดีขึ้น เพื่อเข้าสู่ระบบในการจดทะเบียนห้างร้าน เพราะถ้าไม่จดทะเบียนขึ้นทะเบียน การพัฒนาก็จะไม่ได้ เก็บภาษีก็ไม่ได้ แต่ก็มีความเห็นอกเห็นใจ เพราะบางคนรายได้ยังมีน้อย เข้าใจหรือไม่ ลองคิดเปรียบเทียบอย่างนี้ “ผมไม่ได้ติเตียนว่ากล่าวให้ใครทั้งหมด ผมบอกเหตุผลหลักการของผม และล่าสุดผมเป็นผู้บริหารจัดการเอง ในขณะนี้ลองเปรียบเทียบดูแล้วกัน ถ้าไม่พุ่งเป้า เราจะเพียงพอหรือไม่ ถ้าไม่แก้ปัญหาแบบพุ่งเป้า ใครเดือดร้อนมาก เดือดร้อนน้อยก็ต้องดูแลกันตามนั้นทุกเรื่อง ก็ต้องทำตามในหลักการนี้” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว