พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ฟอร์มทีมรัฐบาลขึ้นด้วยจำนวน 310 เสียง ไม่เพียงพอที่จะปิดสวิตช์ ส.ว. ในการเลือกตั้งนายกฯ เพราะจำเป็นต้องมีเสียงสนับสนุนจำนวน 376 เสียง ขณะที่ ส.ว. เตรียมโหวตไม่เลือกนายกฯ หากเป็นตัวแทนพรรคก้าวไกล ด้วยเหตุผลที่เกี่ยวกับการแก้ไขมาตรา 112 และการสนับสนุนทางทหาร

       รศ.ดร.สังศิต พิริยะรังสรรค์ สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ประธานกรรมาธิการ การแก้ปัญหาความยากจนและลดความเหลื่อมล้ำ ได้เปิดเผยกับทีมข่าวว่า การโหวตนายกฯ ของ ส.ว. ทุกคนลงคะแนนได้โดยอิสระ ขณะนี้ยังไม่มีการพูดคุยกัน แต่ส่วนตัวนั้นตัดสินใจโหวตเลือกนายกฯ ตามผลประโยชน์ของประเทศชาติเป็นหลัก ถ้าหากคะแนนเสียงที่ได้ทำการโหวตออกไปนั้น ทำให้ต่างชาติเข้ามาตั้งฐานทัพในไทย แล้วทำให้ไทยเป็นศูนย์กลางความขัดแย้งทางการเมืองในภูมิภาค จะไม่โหวตสนับสนุนให้กับบุคคลนั้น “การโหวตเลือกนายกฯ ถ้าหากมีนโยบายเพิ่มความขัดแย้งในสังคม ผมจะไม่ให้การสนับสนุน ส่วนตัวมองว่าการเมืองที่ดีจะต้องมีการยึดถือผลประโยชน์ของประเทศ ให้มากกว่ายึดถือเสียงส่วนใหญ่ แม้ว่าผมจะเป็นเสียงส่วนน้อยก็ตาม แต่นายกฯ คนใหม่ ต้องไม่มีนโยบายอนุญาตให้ต่างชาติเข้ามาตั้งฐานทัพในไทย และต้องไม่อนุญาตให้ชาติมหาอำนาจ ใช้ประเทศไทยเป็นเวทีในการต่อสู้กัน” โดยส่วนตัวไม่โหวตให้ คุณพิธา เป็นนายกฯ ซึ่งพรรคก้าวไกลรู้อยู่แล้วว่าไม่สามารถรวบรวมเสียงถึงกึ่งหนึ่ง (376 เสียง) เพื่อทำการปิดสวิตช์ ส.ว. ได้ เพราะก้าวไกลเป็นพรรคการเมืองที่มีญาติมิตรสหายในสภาเป็นจำนวนน้อย คนในพรรคก็น่าจะมองออก และเต็มใจแพ้ในสภาเพื่อเป็นผู้ชนะในการเลือกตั้งครั้งถัดไป “คนที่ทำงานการเมืองจะไม่รู้หรือว่า การเดินงานการเมืองแบบนี้ ไม่ได้เสียงสนับสนุนถึงกึ่งหนึ่ง ขณะที่พรรคเพื่อไทย ย่อมตะหนักรู้ว่าก้าวไกลไม่ได้รับการสนับสนุนให้เป็นนายกฯ เกินกึ่งหนึ่งของรัฐสภา โดยที่ตัวเองจะเป็นพรรคหมายเลข 2 และก้าวขึ้นมาจัดตั้งรัฐบาลแทนพรรคก้าวไกล ซึ่งทางการเมือง เพื่อไทยถือว่าเก๋าเกมกว่าพรรคก้าวไกล ดังนั้น การที่พรรคเพื่อไทยให้การสนับสนุนพรรคก้าวไกลนั้น เป็นยุทธวิธีทางการเมือง เพื่อผลักดันให้ตัวเองเป็นฝ่ายประชาธิปไตย” การที่ ส.ว. ไม่ทำการโหวตให้ คุณพิธา เป็นนายกฯ ประชาชนจะมอง ส.ว. ว่าเป็น ปรปักษ์ กับประชาชนส่วนใหญ่ เพราะประชาชนส่วนใหญ่อยากให้พรรคก้าวไกลที่ประชาชนทำการเลือกมานี้จัดตั้งรัฐบาล เนื่องจากเป็นเสียงส่วนใหญ่ของประชาชน แต่สำหรับส่วนตัวผม ยังคงยึดมั่นหลักการของตัวเอง โดยไม่ได้ฟังเสียงของใคร “หาก คุณพิธา ไม่ได้รับการโหวตให้เป็นนายกฯ เปิดโอกาสให้เพื่อไทยได้จัดตั้งรัฐบาล โดยที่ผ่านมา เพื่อไทยมีความชัดเจนในการไม่แก้ไขมาตรา 112 ทำให้มีมิตรในสภาจำนวนมากกว่า การสนับสนุนก้าวไกลเป็นนายกฯ ตอนนี้ เพื่อสร้างให้เกิดความชอบธรรมให้กับตัวเอง เพราะถ้าก้าวไกลไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ เพื่อไทยจะมาเป็นผู้นำรัฐบาลแทน แต่ ส.ว. ไม่มีแนวทางที่จะสนับสนุนให้ พลเอกประยุทธ์ กลับมาเป็นนายกฯ อีกวาระ” ก้าวไกล ต้องพึ่งตัวเอง รวมให้ได้จำนวน 376 เสียง ชาญวิทย์ ผลชีวิน สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) กล่าวกับทีมข่าวว่า ส่วนตัวยังไม่คิดเรื่องของการโหวตนายกฯ แต่อยากให้ กกต. รับรองคุณสมบัติทุกอย่างให้ถูกต้องเสียก่อน ซึ่งพรรคก้าวไกล การเป็นแกนนำรัฐบาล แทนที่จะมุ่งแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจก่อน แต่กลับนำการแก้ไขมาตรา 112 มาก่อน สิ่งนี้เป็นคำตอบสำหรับคำถาม และถ้าถึงเวลานั้นจริง อาจให้การงดออกเสียง “ยังคงจับตามองว่าพรรคก้าวไกลจะจัดสามารถตั้งรัฐบาลได้จริงหรือไม่ เพราะการชูนโยบายแก้ไขมาตรา 112 ส.ว. ส่วนใหญ่ก็รู้สึกไม่เห็นด้วย และเท่าที่ได้พูดคุยกับหลายๆคน อยากให้การแก้ไขนโยบาย 112 ไปอยู่กระบวนการท้ายที่สุด ไม่ควรทำอย่างเร่งรีบในเวลานี้ ดังนั้น พรรคก้าวไกลควรรอให้ กกต. รับรองเสียก่อน หลังจากนั้นไปรวบรวม ส.ส.ให้เกินกึ่งหนึ่ง 376 เสียง ถ้ารวมได้ ก็ไม่ต้องมาสนใจเสียงของ ส.ว.”