ผู้ประกอบการรถสองแถวไม่เห็นด้วยกับมาตรการบังคับใช้กฎหมาย ห้ามผู้โดยสารยืนบนรถสองแถว เพราะส่งผลกระทบต่อราคาต้นทุนที่ผู้ประกอบกาต้องแบกรับกับภาระค่าน้ำมันวันละประมาณ 800-1,000 บาท ขณะที่ช่วงเร่งด่วน ไม่สามารถห้ามผู้โดยสารให้ยืนบนรถได้ จึงอยากให้มีการผ่อนผันมาตรการลง เพราะอาจจะเป็นข้ออ้างให้เจ้าหน้าที่รีดไถเงินได้

       ผู้ประกอบการรถสองแถวหมดความอดทน กฎหมายใหม่ห้ามยืนบนรถสองแถว-จำกัดความเร็ว ผู้ประกอบการต้องแบกต้นทุน ขนส่งไม่เหลียวแลสร้างความหวั่นใจและความวิตกกังวัลให้กับผู้ประกอบการรถสองแถวเป็นอย่างมาก เมื่อวันที่ 17 ก.พ. 2566 เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ประกาศสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เรื่อง การยกเว้นให้ผู้โดยสารไม่ต้องรัดร่างกายด้วยเข็มขัดนิรภัยในรถบางประเภท พ.ศ. 2566 โดยเนื้อหาบางส่วนระบุถึงผู้โดยสารรถสองแถวห้ามยืนบนรถ และต้องวิ่งไม่เกิน 60 กิโลเมตรต่อชั่วโมง หากฝ่าฝืน มีโทษทางกฎหมายจราจร ทีมข่าวได้สอบถามไปยังผู้ประกอบการรถสองแถวรายหนึ่งย่านฝั่งธนบุรี กรุงเทพฯ โดยได้ออกมาเปิดเผยว่า การออกกฎหมายห้ามยืนบนรถสองแถว ไม่เพียงแค่ส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการเพียงอย่างเดียวแต่ส่งผลกระทบต่อผู้โดยสาร ที่ใช้บริการช่วงเร่งด่วนอีกด้วย เพราะความเป็นจริง ผู้โดยสารก็มีความยินยอมที่จะยืน เนื่องจากต้องการไปทำธุระโดยใช้เวลาให้เร็วที่สุด ส่วนรถสองแถวไม่สามารถห้ามผู้โดยสารให้ยืน หรือปฏิเสธรับผู้โดยสารได้ เนื่องจากเคยมีกรณีผู้โดยสาร โทรไปร้องเรียนที่กรมขนส่งเรื่องไม่จอดรับผู้โดยสารมาแล้ว“ปกติผู้โดยสารมีจำนวนมากช่วงเช้าและเย็น เส้นทางที่วิ่งเริ่มจากท่าน้ำศิริราช ถึงพุทธมณฑล หากตำรวจมีการบังคับใช้กฎหมายจับจริง จะส่งผลต่อต้นทุนผู้ประกอบการ เพราะกรมขนส่งกำหนดให้รถสองแถวนั่งได้ 11 คน ยืนได้ 7 คน ที่ผ่านมาทางวินพยายามบริหารจัดการไม่ให้รถขาดช่วง เพื่อลดปริมาณผู้โดยสารยืนให้น้อยที่สุด แต่บางครั้งด้วยการจราจรที่มีความติดขัด ช่วงการจราจรหนาแน่น ทำให้รถขาดช่วงได้บ้าง ผู้โดยสารจึงต้องยืนมากกว่าปกติ” ถ้าคิดรายได้ตามความเป็นจริง หากกฎหมายกำหนดไม่ให้มีผู้โดยสารยืน จะสามารถรับผู้โดยสารได้ 11 คนต่อหนึ่งเที่ยว เก็บค่าโดยสารเพียงคนละ 8 บาท ได้เงินทั้งหมด 88 บาท แต่บางเที่ยวผู้โดยสารอาจไม่เต็มคันรถ จึงไม่คุ้มกับค่าน้ำมันที่เสียไป ดังนั้น กฎหมายใหม่ทำให้คนขับรถสองแถวเกิดความวิตกกังวล เพราะถ้าหากไม่รับผู้โดยสารก็อาจจะทำให้ถูกร้องเรียน แต่ถ้ารับมาแล้วได้ยืนก็โดนตำรวจจับ“ผู้โดยสารมีทั้งนักเรียน แม่ค้า คนทำงาน ด้วยความที่ต้องวิ่งรถภายในชุมชน ทำให้ต้องจำกัดความเร็ว ดังนั้นกฎหมายใหม่ที่ควบคุมความเร็วไม่เกิน 60 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ไม่ส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการในพื้นที่แต่อย่างใด แต่อาจมีปัญหากับวินรถสองแถวตามชานเมืองมากกว่า” จึงเรียกร้องให้ผ่อนผันมาตรการ กรณีผู้โดยสารต้องยืน เพราะเฉลี่ยรถสองแถวต้องจ่ายค่าน้ำมันวันละ 800-1,000 บาท ขณะนี้ผู้ประกอบการได้รับผลกระทบหนักหลังเกิดวิกฤติโควิด19 เนื่องจากค่าน้ำมันมีราคาที่สูง แต่ผู้ประกอบการรถสองแถว พยายามอดทนมาโดยตลอด เพราะหลายคนลงทุนทำรถ และมีค่าผ่อนรถที่ต้องจ่ายในทุกๆเดือน ด้วยต้นทุนค่าน้ำมันที่มีราคาสูงขึ้น ทำให้ทุกวันนี้ รถสองแถวต้องวิ่งวันละ 10 เที่ยว เพื่อให้คุ้มค่าใช้จ่ายในแต่ละวัน ซึ่งถ้ามีการปรับตามกฎหมายใหม่ขึ้นมาอีก ก็จะยิ่งบีบให้ผู้ประกอบการรถสองแถว ต้องวิ่งรับคนในแต่ละวันเพิ่มมากขึ้นไปอีก “สำหรับผู้ประกอบการรถสองแถว อยากให้รัฐบาลช่วยเข้ามาดูแลเรื่องราคาค่าน้ำมัน เพราะทุกวันนี้ไม่สามารถเพิ่มค่าโดยสารได้ เนื่องจากกรมขนส่ง จำกัดเพดานค่าโดยสารอยู่ที่ 8 บาทตลอดสาย และถ้ายิ่งมีการบังคับใช้กฎหมายใหม่โดยการห้ามให้ผู้โดยสารยืน จะเป็นช่องทางทำให้เจ้าหน้าที่บางราย เป็นข้ออ้างในการเรียกรับผลประโยชน์ได้”พรหมมินทร์ กัณธิยะ ผู้อำนวยการสำนักงานเครือข่ายลดอุบัติเหตุ (สคอ.) ให้ความคิดเห็นกับทีมข่าวว่า กฎหมายนี้เกิดจากแนวคิดในการละเว้นการติดตั้งเข็มขัดให้กับผู้โดยสาร แต่ในความเป็นจริงค่อนข้างทำได้ยาก เพราะรถลักษณะนี้ใช้ผิดประเภทมาเป็นระยะเวลาที่ยาวนาน ถ้ามองตามความเป็นจริง รถสองแถวจำกัดให้นั่งได้เพียงแค่ 6 คน ก็ไม่คุ้มกับต้นทุนของผู้ประกอบการ กรณีนี้อาจส่งผลให้เกิดความขัดแย้งระหว่างผู้ใช้รถสองแถวกับตำรวจที่บังคับใช้กฎหมาย “ลองคิดดูว่า รถสองแถวนั่งได้แค่เพียงแถวละ 3 คน จริงอยู่ว่าตามหลักวิชาการทำให้เกิดความปลอดภัย แต่แนวทางบางอย่างที่นำไปใช้ในต่างประเทศ อาจใช้ไม่ได้ในประเทศไทย ทั้งที่เจตนาของกฎหมายนี้ต้องการให้เกิดความปลอดภัย แต่สภาพสังคมไทยตอนนี้ทุกคนต่างก็ปากกัดตีนถีบกันทั้งนั้น เลยทำให้มองข้ามความปลอดภัยมาทีหลัง”สิ่งที่น่าห่วงเมื่อออกกฎหมายนี้มาแล้ว อาจจะเป็นช่องทางที่ทำให้เจ้าหน้าที่แสวงหาผลประโยชน์จากช่องว่างของกฎหมายนี้ได้ เพราะทุกวันนี้ต้องยอมรับว่า มีการแสวงหาผลประโยชน์ลักษณะนี้อยู่ ซึ่งผู้ประกอบการรถสาธารณะขณะนี้ก็มีต้นทุนที่ต้องจ่ายในการจดทะเบียนต่างๆ เป็นเงินจำนวนมาก แต่กรมขนส่งทางบก กลับยังมีการดูแลผู้ประกอบการเหล่านี้น้อยเกินไป การบังคับใช้กฎหมายห้ามยืนบนรถสองแถว ควรจะมีการแถลงการให้ชัดเจนถึงแนวทางมากกว่านี้ เพื่อให้เจ้าหน้าที่ตำรวจมีการปฏิบัติงานที่ชัดเจน ส่วนผู้ประกอบการรถสองแถว ก็จะได้ไม่ต้องมีความวิตกกังวลกับการใช้กฎหมายของเจ้าหน้าที่.